วันอาทิตย์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ข้อแนะนำในการเลือก domain name

      
   Domain name เปรียบเสมือนชื่อของเรา เป็นชื่อที่ใช้อ้างอิงมาที่เว็บไซต์ของเรา ดังนั้นจึงมีความสำคัญมาก การเลือก domain name ที่ดีจะเป็นส่วนช่วยให้เว็บไซต์ของเรามีชื่อเสียงได้ง่ายขึ้น

ข้อแนะนำในการเลือก domain name มีดังนี้
1. ควรเป็นชื่อที่จำได้ง่าย สะกดได้ง่าย จะทำให้ผู้ใช้งานสามารถกลับมาใช้งานเว็บของเราได้ ไม่ควรใช้คำไทยที่เขียนเป็นภาษาอังกฤษเพราะนอกจากจะสะกดได้ยากแล้ว ยังมีโอกาศสะกดผิดพลาดได้ง่ายอีกด้วย นอกจากจะเป็นคำที่สะกดได้ง่าย เช่น สนุก (sanook) , กระปุก (kapook) เป็นต้น
2. ควรเป็นชื่อที่สั้น คือไม่ควรเกิน 10 ตัวอักษร จะสามารถทำได้จำได้ง่ายขึ้น และยังลดการสะกดชื่อผิดได้ ผู้ใช้งานเว็บไซต์นั้นชอบที่จะพิมพ์ชื่อเว็บที่สั้นมากกว่าชื่อเว็บที่ยาว มากแน่นอน
3. ควรจดโดยใช้ .com ในปัจจุบันมีหลายชื่อให้เลือกมากเช่น .net , .org , .info , .firm แต่ชื่อที่นิยมใช้มากที่สุดคือ .com ผู้ใช้งานจะคุ้นเคยกับ .com มากกว่า และในกรณีที่ผู้ใช้งานจำ domain name เราไม่ได้ก็มีโอกาศสูงที่เค้าจะใช้ชื่อ .com ก่อน
4. ควรเป็นชื่อที่เป็นสากล การใช้ชื่อที่เป็นสากลรู้จักกันโดยทั่วไป ไม่ควรใช้คำเฉพาะที่รู้จักกันคนในพื้นที่รู้จักเท่านั้น จะทำให้เว็บไซต์เราสามารถรองรับผู้ใช้งานจากพื้นที่อื่นได้
5. ควรเป็นชื่อที่ง่ายในการออกเสียง การออกเสียงได้ง่ายจะทำให้ จำได้ง่ายขึ้น และสะกดได้ง่ายขึ้นด้วย จะเห็นได้ว่าเว็บไซต์ที่มีชื่อเสียงในปัจจุบันสามารถออกเสียงได้ง่ายมาก เช่น google , yahoo , sanook เป็นต้น
6. ควรเป็นชื่อที่มีตัวอักษรเท่านั้น ในปัจจุบันเราสามารถใส่ สัญลักษณ์ (-) hyphen และตัวเลขใน domain name ได้ แต่การใส่สัญลักษณ์และตัวเลขนั้นจะทำให้เกิดความผิดพลาดในการพิมพ์ชื่อ domain name ได้ง่ายขึ้นเพราะจะไม่สัมพันธ์กับการออกเสียง
7. ควรใช้ชื่อเว็บไซต์ที่มีตัวอักษรซ้ำกัน อีกข้อแนะนำหนึ่งก็คือใช้ตัวอักษรซ้ำกันใน domain name จะทำให้การออกเสียงง่ายขึ้นและจดจำง่ายขึ้น หลายเว็บไซต์ดังๆก็ใช้หลักการนี้เช่น google , badoo , badongo
8. ควรเป็นชื่อที่เกี่ยวกับเนื้อหาของเว็บไซต์ เพราะจะทำให้ผู้ใช้งานเว็บไซต์รู้เนื้อหาของเว็บไซต์ได้ทันทีจากชื่อของเว็บไซต์ เช่นถ้าคุณขายเครื่องประดับอาจใช้ชื่อ jewelley.com
9. ควรมี keyword ที่เกี่ยวข้อกับเว็บไซต์ keyword ที่เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์ของเราจะมีผลอย่างยิ่ง ต่อลำดับการค้นหาของ search engine ต่างๆ เช่นถ้าคุณค้นหาคำว่า game ใน search engine ลำดับต้นๆของผลลัพธ์ที่แสดงออกมานั้น ใน domain name จะมีคำว่า game อยู่ด้วย
10. ควรใช้ยี่ห้อสินค้าของตัวเองเป็น domain name ในกรณีนี้เรา เห็นตัวอย่างมากมายเช่น nike.com แม้แต่การทั้งการใช้คำขวัญที่คิดขึ้นมาเช่น justdoit.com ก็ใช้เป็น domain name เพื่อเข้าไปยังเว็บไซต์ของ nike เช่นเดียวกัน
          แน่นอนว่ายี่ห้อต่างๆที่มีชื่อเสียงอยู่ในปัจจุบันนั้นก็มาจากชื่อที่ ไม่ดังมาก่อน ดังนั้นเราควรที่จะสร้างยี่ห้อเป็นของตัวเองไม่ควรใช้คำพ้องกับยี่ห้อที่มี อยู่แล้ว
          ทั้งหมดนี้ก็เป็นเพียงข้อแนะนำสำหรับการเลือกชื่อ domain name ของเราเท่านั้น เราไม่จำเป็นต้องใช้ข้อแนะนำทั้งหมด เพราะจริงๆแล้วคงเป็นไปได้ยาก เนื่องจากตอนนี้มีธุระกิจขายชื่อโดเมนเนม ทำให้ชื่อดีๆถูกซื้อไปกักตุนเอาไว้เพื่อขายต่อในราคาแพง ทำให้ชื่อดีๆลดน้อยลง เมื่อเราคิดชื่ออะไรได้ที่ยังไม่ซ้ำกับคนอื่น ก็ควรรีบจดก่อนที่คนอื่นจะแย่งคุณไป
         Domain name เป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้เว็บไซต์มีชื่อเสียงได้ง่ายขึ้น สุดท้ายแล้วสิ่งสำคัญที่สุดก็คือ เนื้อหาของเว็บไซต์นั่นเอง ถ้าเนื้อหาของเว็บไซต์เราดี ยังไงเว็บของเราก็ต้องเป็นที่นิยมอย่างแน่นอน

       
                     
ที่มาของข้อมูล : 
 ข้อแนะนำในการเลือก domain name. HelloMyWeb. [ออนไลน์]. 
             เข้าถึงได้จาก http://www.hellomyweb.com/index.php/main    
             /content/72. อ้างเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2556. 





วันพุธที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

10 ข้อที่ไม่ควรละเลยในเว็บไซต์ขนาดเล็ก

สำหรับ 10 ข้อที่ไม่ควรละเลยในเว็บไซต์ขนาดเล็ก มีดังนี้

 
           1.วางแผนภาพรวมของเว็บไซต์ การวางตำแหน่งของเนื้อหา และเนวิเกชัน โดยอาจวาดรูปร่างคร่าวๆ ของเว็บไซต์ไว้ก่อนว่าจะจัดวางตำแหน่งอย่างไร ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ของผู้พัฒนาเว็บไซต์เองจะได้ไม่เสียเวลาในภายหลังด้วย

           2.แทรก Meta tags ในเว็บไซต์ของคุณ

           3.อย่าใส่ภาพกราฟิกเคลื่อนไหวได้มากเกินไป ในหลายๆเว็บไซต์จะเห็นได้ว่ามีการใส่กราฟิกภาพเคลื่อนไหวได้จำนวนมาก ทั้งเป็น Flash หรือ gif เพื่อดึงดูดความสนใจ หรือเพื่อเน้นส่วนต่างๆในเว็บไซต์ แต่การใช้ภาพกราฟิกเคลื่อนไหวมากเกินไป จะก่อนให้เกิดความสับสนต่อผู้ใช้งานได้ ดังนั้นเราจึงควรใช้แต่พอดีเน้นในส่วนที่ต้องการเน้นเท่านั้น บางเว็บไซต์อาจใช้งาน Javascript เพื่อสร้างความแปลกใหม่ให้กับเว็บไซต์ แต่ถ้าเราใช้งานมากเกินไปอาจก่อให้เกิดความสับสน หรือเป็นอุปสรรคในการใช้งานของผู้เข้าชมได้

          อีกข้อที่อยากจะเตือนคือ flash , javascript หรือ animations ต่างๆนั้น search engine ไม่ได้ในไปรวมในฐานข้อมูลด้วย ดังนั้นข้อมูลที่เราแสดงผลด้วยเครื่องมือดังกล่าวนั้นก็จะไม่ถูก นำไปรวมในฐานข้อมูลของ search engine ด้วย จึงควรระวังในส่วนนี้ให้ดี
           
         4.อย่าให้เว็บไซต์ของคุณ แสดงผลนานกว่า 8 วินาที หรือมีขนาดใหญ่กว่า 40 kb เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เคยพูดถึงหลายครั้งแล้ว แต่ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมากที่มักจะถูกละเลย ตามที่เราได้เคยกล่าวไปแล้วว่า ไม่มีใครอยากรอคอย ถ้าเว็บไซต์ของเราแสดงผลนาน ก็เป็นไปได้อย่างสูงว่าผู้ชมอาจปิดเว็บไซต์เราไปก็ได้

          ไฟล์ flash , animation , เพลง , ภาพขนาดใหญ่เป็นตัวแปรสำคัญในเรื่องนี้ เราจึงควรลดการใช้งาน ซอยสิ่งเหล่าในให้ไปอยู่ในหน้าต่างๆ หรือลดขนาดลง และให้ผู้ชมเลือกเองว่าต้องการดูส่วนใด เราเพียงทำลิงค์ หรือภาพขนาดเล็กเพื่อลิงค์ไปหาภาพขยายใหญ่ไว้ให้

           5.ขนาดเว็บไซต์ของคุณ ขนาดเว็บไซต์มีผลอย่างยิ่งกับการแสดงผลในหน้าจอขนาดต่างๆ เราจึงควรกำหนดขนาดเว็บไซต์ไม่ให้เกิน 750px หรือ กำหนดการแสดงผลเป็น % เพื่อลดปัญหาเหล่านี้


           6.อย่าเชื่อใจ WYSIWYG HTML editors อย่างเชน Dreamweaver , Frontpage เพราะการแสดงผลเว็บเพจผ่านโปรแกรมพวกนี้ กับการแสดงผลผ่าน web browser ต่างๆอาจไม่เหมือนกัน เราจึงควรตรวจสอบก่อนทุกครั้ง และตรวจสอบด้วย browser อย่างน้อย 2 ชนิดที่ได้รับความนิยม คือ 1. Internet Explorer 2.Firefox

           7.การเว้นช่องว่าง การเว้นช่องว่างระหว่างวัตถุ เช่นช่องว่างของตัวอักษรในตาราง ช่องไฟระหว่างตัวอักษรด้วยกันเอง เป็นสิ่งที่จำเป็นมาก การเว้นช่องว่างระหว่าง ตัวอักษร จะทำให้เกิดความสาวงาม อ่านสบายตา การเว้นช่องว่างในตาราง ทำให้ตารางดูสวยงามขึ้น เราสามารถใช้ CSS ในการควบคุมสิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดได้ และควรให้ความสำคัญกับเรื่องนี้


           8.การใช้สีในเว็บเพจสีก็เป็นสิ่งที่สำคัญมากในเว็บเพจ สีที่ต่างกันให้อารมณ์ต่างกัน เราจึงควรเลือกสีให้เหมาะกับเนื้อหา หรือกลุ่มผู้ชม ถ้าเลือกสีฉุดฉาดก็เหมาะกับกลุ่มเด็ก เลือกสีเข้มจะเหมาะกับกลุ่มผู้ใหญ่
            สำหรับในส่วนสีที่ใช้แสดงเนื้อหานั้น อย่าใช้สีตัวอักษรโทนดำ บนพื้นหลังสีดำ หรืออย่าใช้สีตัวอักษรโทนขาว ในพื้นหลังโทนขาว เพราะจะทำให้อ่านตัวอักษรได้ยาก สีที่เหมาะจะแสดงตัวอักษรดีสุดคือ ตัวอักษรสีดำ พื้นสีขาว สีเหลืองเหมาะสำหรับใช้เน้นข้อความสำคัญ


          9.ระวังเรื่องหน้าต้อนรับหลายๆเว็บไซต์นิยมจะให้หน้าแรก เป็นหน้ากล่าวคำยินดีต้อนรับ หรือหน้าแจ้งข่าวสารต่างๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ดีสำหรับเว็บไซต์ขนาดเล็ก เพราะจะส่งผลต่อ เนื้อหาของเว็บไซต์ของคุณใน Search Engine และอันดับที่ปรากฏใน Search Engine
         

        10.Pop upไม่แนะนำให้ใช้ pop up เนื่องมาจากว่า browser ส่วนใหญ่ตอนนี้จะตัดไม่แสดงผล pop up อยู่แล้ว ทำให้ข้อมูลที่อยู่ใน pop up ก็ไม่แสดงผลไปด้วย และการใช้ pop up เหมือนกับการใช้เพื่อโฆษณาซะมากกว่า




ที่มาของข้อมูล : 
การทำเว็บแบบง่ายๆ - สอน ทำ เว็บไซต์.  10 ข้อที่ไม่ควรละเลยในเว็บไซต์ขนาดเล็ก.
           [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก http://www.hellomyweb.com/index.php/main/content/120. 
            อ้างเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2556.


โลกปัจจุบันกับเทคโนโลยีเพื่อการเรียนการสอนในอนาคต - Eduzones

ครูกับเทคโนโลยีเพื่อการเรียนการสอนในอนาคต

                โลกเราในปัจจุบันนี้มีการเปลี่ยนแปลงในด้านต่างๆเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของด้านการศึกษา เศรษฐกิจ และสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของเทคโนโลยีสารสนเทศ ในปัจจุบันจะสังเกตได้ชัดเจนว่าเทคโนโลยีต่างๆนั้นได้มีการพัฒนาอย่างล้ำสมัยซึ่งส่งผลให้เกิดความสะดวกต่อการใช้งานในปัจจุบันและในอนาคต ปัจจุบันความก้าวหน้าของเทคโนโลยีสารสนเทศได้มีบทบาทสำคัญต่อวิถีชีวิตและสังคมของมนุษย์ เทคโนโลยีสารสนเทศในปัจจุบันได้บูรณาการเข้าสู่ระบบธุรกิจ ดังนั้นองค์การที่จะอยู่รอดและมีพัฒนาการต้องสามารถปรับตัวและจัดการกับเทคโนโลยีอย่างเหมาะสม โดยหัวข้อนี้จะกล่าวถึงเทคโนโลยีสารสนเทศที่จะมีผลต่อการดำเนินธุรกิจในอนาคต เพื่อให้ผู้บริหารในฐานะหัวใจสำคัญของการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศขององค์การได้ศึกษา แต่เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีสารสนเทศอาจทำให้เทคโนโลยีที่กล่าวถึงในที่นี้ล้าสมัยได้ในระยะเวลาอันรวดเร็ว ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่ผู้บริหารที่สนใจจะต้องศึกษาติดตามความเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา โดยเทคโนโลยีสารสนเทศที่สำคัญในอนาคตมี ดังนี้


                1.คอมพิวเตอร์ (computer) ปัจจุบันคอมพิวเตอร์ได้พัฒนาไปจากยุคแรกที่เครื่องมีขนาดใหญ่ทำงานได้ช้า ความสามารถต่ำ และใช้พลังงานสูง เป็นการใช้เทคโนโลยีวงจรรวมขนาดใหญ่ (very large scale integrated circuit : VLSI) ในการผลิตไมโครโปรเซสเซอร์ (microprocessor) ทำให้ประสิทธิภาพของส่วนประมวลผลของเครื่องพัฒนาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด นอกจากนี้ยังได้มีการพัฒนาหน่วยความจำให้มี ประสิทธิภาพสูงขึ้น แต่มีราคาถูกลง ซึ่งช่วยเพิ่มศักยภาพในการทำงานของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลในปัจจุบัน โดยที่คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลในขณะที่มีความสามารถเท่าเทียมหรือมากกว่าเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ในสมัยก่อน ตลอดจนการนำคอมพิวเตอร์ชนิดลดชุดคำสั่ง (reduced instruction set computer) หรือ RISC มาใช้ในการออกแบบหน่วยประเมินผล ทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์สามารถทำงานได้เร็วขึ้นโดยใช้คำสั่งพื้นฐานง่าย ๆ นอกจากนี้พัฒนาการและการประยุกต์ความรู้ในสาขาวิชาต่าง ๆ ทั้งสาขาวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศ ที่ส่งผลให้เครื่องคอมพิวเตอร์มีการประมวลผลตามหลักเหตุผลของมนุษย์หรือระบบปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งจะกล่าวถึงในหัวข้อต่อไป
               2.ปัญญาประดิษฐ์ (artificial intelligence) หรือ AI เป็นการพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์ให้มีความสามารถที่จะคิดแก้ปัญหาและให้เหตุผลได้เหมือนอย่างการใช้ภูมิปัญญาของมนุษย์จริง ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ในหลายสาขาวิชาได้ศึกษาและทดลองที่จะพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์ให้สามารถทำงานที่มีเหตุผล โดยการเลียนแบบการทำงานของสมองมนุษย์ ซึ่งความรู้ทางด้านนี้ถ้าได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องจะสามารถนำมาประยุกต์ใช้งานต่าง ๆ อย่างมากมาย เช่น ระบบผู้เชี่ยวชาญเป็นระบบคอมพิวเตอร์ที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อให้ความสามารถในการแก้ปัญหาได้อย่างผู้เชี่ยวชาญ และหุ่นยนต์ (robotics) เป็นการพัฒนาสิ่งประดิษฐ์ให้สามารถปฏิบัติงานและใช้ทักษะการเคลื่อนไหวได้ใกล้เคียงกับการทำงานของมนุษย์ เป็นต้น
              3. ระบบสารสนเทศสำหรับผู้บริหาร (executive information system) หรือ EIS เป็นการพัฒนาระบบสารสนเทศที่สนับสนุนผู้บริหารในงานระดับวางแผนนโยบายและกลยุทธ์ขององค์การโดยที่ EIS จะถูกนำมาให้คำแนะนำผู้บริหารในการตัดสินใจเมื่อประสบปัญหาแบบไม่มีโครงสร้างหรือกึ่งโครงสร้าง โดย EIS เป็นระบบที่พัฒนาขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการที่พิเศษของผู้บริหารในด้านต่าง ๆ เช่น สถานการณ์ต่าง ๆ ทั้งภายในและภายนอกองค์การ รวมทั้งสถานะของคู่แข่งขันด้วย โดยที่ระบบจะต้องมีความละเอียดอ่อนตลอดจนง่ายต่อการใช้งาน เนื่องจากผู้บริหารระดับสูงจำนวนมากไม่เคยชินกับการติดต่อและสั่งงานโดยตรงกับระบบคอมพิวเตอร์
              4. การจดจำเสียง (voice recognition) เป็นความพยายามของนักวิทยาศาสตร์ที่จะทำให้คอมพิวเตอร์จดจำเสียงของผู้ใช้ ปัจจุบันการพัฒนาเทคโนโลยีสาขานี้ยังไม่ประสบความสำเร็จตามที่นักวิทยาศาสตร์ต้องการ ถ้าในอนาคตนักวิทยาศาสตร์ประสบความสำเร็จในการนำความรู้ต่าง ๆ มาใช้สร้างระบบการจดจำเสียง ก็จะสามารถสร้างประโยชน์ได้อย่างมหาศาลแก่การใช้งานคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ โดยที่ผู้ใช้จะสามารถออกคำสั่งและตอบโต้กับคอมพิวเตอร์แทนการกดแป้นพิมพ์ ซึ่งจะส่งผลให้ผู้ที่ไม่เคยชินกับการใช้คอมพิวเตอร์ให้สามารถปรับตัวเข้ากับระบบได้ง่าย เช่น ระบบสารสนเทศสำหรับผู้บริหารระดับสูง การสั่งงานระบบฐานข้อมูลต่าง ๆ และระบบรักษาความปลอดภัยของข้อมูล เป็นต้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและขยายคุณค่าเพิ่มของเทคโนโลยีสารสนเทศที่มีต่อธุรกิจ
              5. การแลกเปลี่ยนข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ (electronics data interchange) หรือ EDI เป็นการส่งข้อมูลหรือข่าวสารจากระบบคอมพิวเตอร์หนึ่งไปสู่ระบบคอมพิวเตอร์อื่นโดยผ่านทางระบบสื่อสารข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ เช่น การส่งคำสั่งซื้อจากผู้ซื้อไปยังผู้ขายโดยตรง ปัจจุบันระบบแลกเปลี่ยนข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์กำลังได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะช่วงลดระยะเวลาในการทำงานของแต่ละองค์การลง โดยองค์การจะสามารถส่งและรับสารสนเทศในการดำเนินธุรกิจ เช่น ใบสั่งซื้อและใบตอบรับผ่านระบบสื่อสารโทรคมนาคมที่มีอยู่ ทำให้ทั้งผู้ส่งและผู้รับไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง
              6. เส้นใยแก้วนำแสง (fiber optics) เป็นตัวกลางที่สามารถส่งข้อมูลข่าวสารได้อย่างรวดเร็วโดยอาศัยการส่งสัญญาณแสงผ่านเส้นใยแก้วนำแสงที่มัดรวมกัน การนำเส้นใยแก้วนำแสงมาใช้ในการสื่อสารก่อให้เกิดแนวความคิดเกี่ยวกับ “ ทางด่วนข้อมูล (information superhighway)” ที่จะเชื่อมโยงระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์เข้าด้วยกัน เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ใช้ได้มีโอกาสเข้าถึงข้อมูลและสารสนเทศต่าง ๆ ได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น ปัจจุบันเทคโนโลยีเส้นใยแก้วนำแสงได้ส่งผลกระทบต่อวงการสื่อสามวลชนและการค้าขายสินค้าผ่านระบบเครือข่ายอิเล็กทรอนิกส์



                7. อินเทอร์เน็ต (internet) เป็นเครือข่ายคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ที่เชื่อมโยงไปทั่วโลก มีผู้ใช้งานหลายล้านคน และกำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยที่สมาชิกสามารถติดต่อสื่อสารแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ตลอดจนค้นหาข้อมูลจากห้องสมุดต่าง ๆ ได้ ในปัจจุบันได้มีหลายสถาบันในประเทศไทยที่เชื่อมระบบคอมพิวเตอร์กับเครือข่ายนี้ เช่น ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (Nectec) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย เป็นต้น               8. ระบบเครือข่าย (networking system) โดยเฉพาะระบบเครือข่ายเฉพาะพื้นที่ (local area network : LAN) เป็นระบบสื่อสารเครือข่ายที่ใช้ในระยะทางที่กำหนด ส่วนใหญ่จะภายในอาคารหรือในหน่วยงาน LAN จะมีส่วนช่วยเพิ่มศักยภาพในการทำงานของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลให้สูงขึ้น รวมทั้งการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน การใช้ข้อมูลร่วมกัน และการเพิ่มความเร็วในการติดต่อสื่อสาร นอกจากนี้ระบบเครือข่ายของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลยังผลักดันให้เกิดการกระจายความรับผิดชอบในการจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศไปยังผู้ใช้มากกว่าในอดีต
               9. การประชุมทางไกล (teleconference) เป็นการนำเทคโนโลยีสาขาต่าง ๆ เช่น คอมพิวเตอร์ เครื่องถ่ายโทรทัศน์ และระบบสื่อสารโทรคมนาคมผสมผสาน เพื่อให้สนับสนุนในการประชุมมีประสิทธิภาพ โดยผู้นำเข้าร่วมประชุมไม่จำเป็นที่จะต้องอยู่ในห้องประชุมและพื้นที่เดียวกัน ซึ่งจะช่วยให้ประหยัดเวลาในการเดินทาง โดยเฉพาะในสภาวะการจราจรที่ติดขัด ตลอดจนผู้เข้าประชุมอยู่ในเขตที่ห่างไกลกันมาก
             10. โทรทัศน์ตามสายและผ่านดาวเทียม (cable and sattleite TV) การส่งสัญญาณโทรทัศน์ผ่านสื่อต่าง ๆ ไปยังผู้ชม จะมีผลทำให้ข้อมูลข่าวสารสามารถแพร่ไปได้อย่างรวดเร็วและครอบคลุมพื้นที่กว้างขึ้น โดยที่ผู้ชมสามารถเข้าถึงข้อมูลจากสื่อต่าง ๆ ได้มากขึ้น ส่งผลให้ผู้ชมรายการมีทางเลือกมากขึ้นและสามารถตัดสินใจในทางเลือกต่าง ๆ ได้เหมาะสมขึ้น
             11. เทคโนโลยีมัลติมีเดีย (multimedia technology) เป็นการนำเอาคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์เก็บข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์มาจัดเก็บข้อมูลหรือข่าวสารในลักษณะที่แตกต่างกันทั้งรูปภาพ ข้อความ เสียง โดยสามารถเรียกกลับมาใช้เป็นภาพเคลื่อนไหวได้ และยังสามารถโต้ตอบกับผู้ใช้ด้วยการประยุกต์เข้ากับความรู้ทางด้านคอมพิวเตอร์ เช่น หน่วยความจำแบบอ่านอย่างเดียวที่บันทึกในแผ่นดิสก์ (CD-ROM) จอภาพที่มีความละเอียดสูง (high resolution) เข้ากับอุปกรณ์ต่าง ๆ เพื่อจัดเก็บและนำเสนอข้อมูล ภาพ และเสียงที่สามารถโต้ตอบกับผู้ใช้ได้ ปัจจุบันเทคโนโลยีมัลติมีเดียเป็นเทคโนโลยีที่ตื่นตัวและได้รับความสนใจจากบุคคลหลายกลุ่ม เนื่องจากเล็งเห็นความสำคัญว่าจะเป็นประโยชน์ต่อวงการศึกษา โฆษณา และบันเทิงเป็นอย่างมาก
             12. การใช้คอมพิวเตอร์ในการฝึกอบรม (computer base training) เป็นการนำเอาระบบคอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยในการฝึกอบรมในด้านต่าง ๆ หรือการนำเอาคอมพิวเตอร์มาช่วยในด้านการเรียนการสอนที่เรียกว่า “ คอมพิวเตอร์ช่วยการสอน (computer assisted instruction) หรือ CAI” การใช้คอมพิวเตอร์ช่วยในการสอนเปิดช่องทางใหม่ในการเรียนรู้ โดยส่งเสริมประสิทธิภาพการเรียนรู้ ตลอดจนปรัชญาการเรียนรู้ด้วยตนเอง
             13. การใช้คอมพิวเตอร์ช่วยในการออกแบบ (computer aided design) หรือ CAD เป็นการนำเอาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และระบบข้อมูลเข้ามาช่วยในการออกแบบผลิตภัณฑ์ รวมทั้งรูปแบบหีบห่อของผลิตภัณฑ์หรือการนำคอมพิวเตอร์มาช่วยทางด้านการออกแบบวิศวกรรมและสถาปัตยกรรมให้มีความเหมาะสมกับความต้องการและความเป็นจริง ตลอดจนช่วยลดต้นทุนการดำเนินงานในการออกแบบ โดยเฉพาะในเรื่องของเวลา การแก้ไข และการจัดเก็บแบบ
             14. การใช้คอมพิวเตอร์ช่วยในการผลิต (computer aided manufacturing) หรือ CAM เป็นการนำคอมพิวเตอร์มาช่วยในการผลิตสินค้าในโรงงานอุตสาหกรรม เนื่องจากระบบคอมพิวเตอร์จะมีความเที่ยงตรงและน่าเชื่อถือได้ในการทำงานที่ซ้ำกัน ตลอดจนสามารถตรวจสอบรายละเอียดและข้อผิดพลาดของผลิตภัณฑ์ได้ตามมาตรฐานที่ต้องการ ซึ่งจะช่วยประหยัดระยะเวลาและแรงงาน ประการสำคัญ ช่วยให้คุณภาพของผลิตภัณฑ์มีความสม่ำเสมอตามที่กำหนด
             15. ระบบสารสนเทศทางภูมิศาสตร์ (geographic information system) หรือ GIS เป็นการนำเอาระบบคอมพิวเตอร์ทางด้านรูปภาพ (graphics) และข้อมูลทางภูมิศาสตร์มาจัดทำแผนที่ในบริเวณที่สนใจ GIS สามารถนำมาประยุกต์ให้เป็นประโยชน์ในการดำเนินกิจการต่าง ๆ เช่น การวางแผนยุทธศาสตร์ การบริหารการขนส่ง การสำรวจและวางแผนป้องกันภัยธรรมชาติ การช่วยเหลือและกู้ภัย เป็นต้น



               เราจะเห็นว่าปัจจุบันเทคโนโลยีสารสนเทศจะเข้ามามีบทบาทและอิทธิพลต่อชีวิตมนุษย์เพิ่มขึ้น ดังนั้นเราต้องพยายามติดตาม ศึกษา และทำความเข้าใจแนวทางและพัฒนาการที่เกิดขึ้น เพื่อที่จะนำเทคโนโลยีสารสนเทศไปประยุกต์ใช้ให้เป็นประโยชน์ในการดำรงชีวิตอย่างเหมาะสมต่อการใช้งานในอนาคต



ที่มาของข้อมูล :
โลกปัจจุบันกับเทคโนโลยีเพื่อการเรียนการสอนในอนาคต - Eduzones.
             vcharkarn.com. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก :
             http://blog.eduzones.com/futurecareerexpo/94488.
            อ้างเมื่อวันที่ 4 กรกฏาคม 2556. 


ข้อควรระวัง 4 ประการในการจัดซื้อคอมพิวเตอร์


              

              เกือบทุกคนมีคอมพิวเตอร์ (พีซี) เป็นของตนเอง แต่ไม่ใช่ทุกคนที่มีพีซีที่ตรงกับความต้องการของตนเอง เนื่องจากพีซีเป็นสินค้าที่มีราคาค่อนข้างแพง การตัดสินใจซื้อที่ผิดพลาดอาจทำให้คุณได้เครื่องพีซี ที่เกินความจำเป็นหรือประสิทธิภาพที่ต่ำกว่าความต้องการ         จากนี้เราจะกล่าวถึงสิ่งที่ควรทราบขณะเลือกซื้อคอมพิวเตอร์ ข้อมูลในการเลือกซื้อที่ถูกต้อง และความผิดพลาดที่มักพบกับผู้ซื้อรายใหม่

ราคาเทียบกับประสิทธิภาพ
              คอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องจะมีฟังก์ชั่นการทำงานและประสิทธิภาพที่แตกต่างกัน ซึ่งจะเห็นได้จากส่วนต่างราคาระหว่างคอมพิวเตอร์ขั้นพื้นฐานและคอมพิวเตอร์ขั้นสูง ศึกษาความต้องการของคุณเพื่อให้ได้คอมพิวเตอร์ที่เหมาะสมโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพื่อซื้อฮาร์ดแวร์ที่ไม่จำเป็นเพิ่มเติม เราสามารถช่วยคุณค้นหาพีซีที่เหมาะสำหรับคุณ ในขณะเดียวกันคอมพิวเตอร์ที่ลดราคามากเป็นพิเศษอาจมีประสิทธิภาพไม่เพียงพอสำหรับความต้องการของคุณเช่นกัน เนื่องจากคอมพิวเตอร์เหล่านี้มักเป็นรุ่นเก่าหรือใช้ส่วนประกอบราคาถูกหรือที่ล้าสมัย การจ่ายเงินมากกว่าจึงอาจทำให้คุณได้พีซีที่มีประสิทธิภาพสูงกว่ามาก การเปรียบเทียบราคา การตรวจสอบส่วนประกอบต่างๆ และพิจารณาความต้องการของตนเองจะทำให้คุณได้พีซีที่ลงตัวทั้งในด้านราคาและประสิทธิภาพในการทำงาน

ส่วนประกอบต่อพ่วงและซอฟต์แวร์
              คอมพิวเตอร์สำเร็จรูปส่วนใหญ่จำหน่ายพร้อมซอฟต์แวร์และแอพพลิเคชั่นสำหรับอุปกรณ์ต่อพ่วง เช่น ระบบปฏิบัติการ ซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัส เมาส์และแป้นพิมพ์ ตรวจสอบกับร้านค้าก่อนจัดซื้อเพื่อให้แน่ใจว่าคอมพิวเตอร์จำหน่ายพร้อมกับอุปกรณ์ต่อพ่วงใดบ้าง จัดเตรียมสิ่งที่จำเป็นและกำหนดงบประมาณให้ชัดเจนตามให้สอดคล้องกับอุปกรณ์ต่อพ่วง เช่น เครื่องพิมพ์หรือสายต่อเสริมตามความเหมาะสม คอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่ไม่ได้จำหน่ายพร้อมกับแอพพลิเคชั่นสำนักงานติดตั้งสำเร็จ ซึ่งคุณควรคำนึงถึงข้อนี้ไว้ด้วย


ส่วนประกอบของเครื่อง
              ส่วนประกอบต่างๆ จะต้องสามารถทำงานร่วมกันได้ การติดตั้งโปรเซสเซอร์รุ่นล่าสุดที่เร็วที่สุดโดยติดตั้ง RAM ไม่เพียงพออาจทำให้โปรแกรมทำงานช้ากว่าที่ควร ตรวจสอบว่าส่วนประกอบต่าง ๆ สามารถรองรับการทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ เคสบางแบบอาจอัพเกรดได้ยาก ศึกษาให้แน่ใจก่อนว่ากำลังเลือกซื้อสินค้าที่ต้องการจริงๆ และสามารถอัพเกรดได้ในอนาคตหรือไม่ เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับส่วนประกอบต่าง ๆ


รองรับการทำงานในอนาคต
            การรองรับการทำงานในอนาคตในที่นี้หมายถึงการจัดซื้อหรือประกอบคอมพิวเตอร์ที่สามารถเรียกใช้แอพพลิเคชั่นขั้นสูงในอนาคต โดยปกติคอมพิวเตอร์กลุ่มนี้จะมีราคาแพง ในระยะยาวขอแนะนำให้เลือกซื้อคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพคุ้มราคามากที่สุด ในระยะยาวคอมพิวเตอร์กลุ่มนี้จะคุ้มค่ามากกว่าการอัพเกรดทุก 6 เดือนหรือการต้องเปลี่ยนเครื่องใหม่




ที่มาของข้อมูล
คู่มือการเลือกซื้อคอมพิวเตอร์. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : http://beforeyoubuypc.thailand.intel.com/articles/4-things-to-watch-out-for-when-buying-a-computer. อ้างเมือวันที่ 3 กรกฎาคม 2556.



                 


20 แนวโน้มเทคโนโลยีในปี 2013

         ในปีนี้ สิ่งที่เห็นได้ชัดคือ Content เปลี่ยนโลก โดยเฉพาะการใช้สื่อผ่าน Social Network อย่าง Facebook, Twitter และสื่ออื่นๆ รวมไปถึงเครือข่ายย่อยอื่นๆ ในปี 2013 ที่กำลังจะมาถึง แนวโน้มของ Social Platform นั้นจะมีการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะ Micro-Networks เป็นการสร้างคอมมูนิตี้เล็กๆ กลุ่มย่อยๆขึ้นมาตามความสนใจ เรามาดูกันว่า ในปี 2013 จะมีแนวโน้มเทคโนโลยีในด้านใดบ้าง โดยเราจะนำเสนอ 20 เทคโนโลยีที่น่าสนใจ รับรองว่า ถ้าอ่านแล้วคุณจะไม่ตกเทรนด์ และปีหน้า เราก็จะดูไปพร้อมๆกันว่า เทคโนโลยีใดที่มาแรง
        อย่างที่รู้กันว่าเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงรวดเร็วมาก ในปีที่ผ่านมา เรามีการเปลี่ยนแปลงทั้งด้านเทคโนโลยี การออกแบบ ดีไซน์ การวางกลยุทธ์ในด้านต่างๆ เทคโนโลยีที่เราจะหยิบยกมานำเสนอต่อไปนี้ เป็นการคาดการณ์จาก Frog ทั้งด้านธุรกิจ วัฒนธรรม และนวัตกรรม โดยมีนักวิเคราะห์ในด้านต่างๆ ออกมาพยากรณ์และคาดการณ์แนวโน้มเทคโนโลยีได้อย่างสนใจ อุปกรณ์เสริมจะฉลาดขึ้น


1. อุปกรณ์เสริมของสมาร์ทโฟนจะมีบทบาทมากขึ้น ฉลาดและอัจฉริยะมากขึ้น
อุปกรณ์เสริมบน iPhone จะมีความสามารถมากกว่าแค่การตกแต่งสมาร์ทโฟน แต่เป็นการใช้งานเสริมกับแอพพลิเคชั่น เช่นการใช้เคส iPhone เป็นเซ็นเซอร์ในการตรวจวัดคลื่นหัวใจสำหรับผู้ป่วยโรคหัวใจ ในปี 2013 อุปกรณ์เสริมจะได้รับการพัฒนาให้ทำงานร่วมกับสมาร์ทโฟนในการใช้เป็น เซ็นเซอร์เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ประโยชน์รอบตัว รอดูกันได้ว่าปีหน้า Smart Accessories จะมีบทบาทกับชีวิตเราอย่างไร

                                

2. อุปกรณ์เสริมช่วยในการควบคุมการขับรถยนต์ อุตสาหกรรมยานยนต์
         ได้มีการนำอุปกรณ์เสริมมาช่วยในการขับรถยนต์ ตั้งแต่การจอดรถ หาที่จอดรถ ตรวจจับความเร็วในการขับรถ ด้วยการใช้กล้อง เซ็นเซอร์ และความสามารถในการคำนวณ รวมไปถึงการเชื่อมโยงกับระบบนำทาง แผนที่ และการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ทาง Google เองก็มีการนำเสนอนวัตกรรมของรถยนต์ที่ขับเองได้โดยไม่ต้องใช้มนุษย์ ปรากฏการณ์เหล่านี้ ไม่ใช่สิ่งที่เราเห็นในภาพยนตร์ Sci-Fi อีกต่อไป ยืนยันได้จากผู้ผลิตรถยนต์อย่าง BMW, GM, Volvo, Volkswagen, Mercedes-Benz, Cadillac ก็เข้าร่วมด้วย อุปกรณ์จะเชื่อมโยงกับมนุษย์จนแยกไม่ออก


                                  

3.เมื่ออุปกรณ์ไอทีเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายมนุษย์ 
           การสวมใส่อุปกรณ์ไอที เห็นจะเป็นเรื่องปกติเสียแล้ว สมัยก่อนหากใครจำได้ คนไหนที่สวมหูฟัง Bluetooth แล้วพูดคนเดียวเหมือนเป็นคนบ้า โดยอุปกรณ์จะกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเรา ด้วยการผูกติดกับร่างกายเรา อย่างเช่น เซ็นเซอร์, กล้อง, อุปกรณ์ป้อนข้อมูล หรือแม้กระทั่งจอที่อาจจะอยู่บนแว่นตา หรือเสื้อผ้าที่เราสวมใส่
4. คอมพิวเตอร์สามารถโต้ตอบกับมนุษย์ได้อย่างมีชีวิตชีวามากขึ้น ปี 2013 
           คอมพิวเตอร์ไม่ใช่เพียงโรบอทหรือหุ่นยนต์ที่ไม่มีชีวิตอีกต่อไป เราจะได้เห็นหุ่นยนต์ที่โต้ตอบได้เหมือนมนุษย์ ไม่ใช่แค่กิริยา ท่าทาง แต่เป็นการโต้ตอบที่เป็นธรรมชาติมากขึ้น คอมพิวเตอร์เก่าๆถูกโละ แทนที่ด้วย iPad, Android, Windows หรือแล็ปท็อปสุดบาง เล็ก และเร็วกว่าเดิม ต่อไปคอมพิวเตอร์จะเข้ามาอยู่ในชีวิตของเราและอยู่กับเราในทุกอิริยาบถ
5. แอพล่องหนไปอยู่บนก้อนเมฆ 
            คอมพิวเตอร์และการคำนวณต่างๆจะไปอยู่บน Cloud อยู่รอบๆตัวเรา และอยู่ในร่างกายของเรา ยุคใหม่ของเบราเซอร์ที่ใช้ท่องเว็บจะกลายเป็นใช้เพื่อทำงานบน Cloud แอพพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟนจะทำงานซับซ้อนมากขึ้น คอมพิวเตอร์ที่เราเห็นกันทุกวันนี้จะเปลี่ยนไปประมวลผลบน Cloud แทน ผู้ช่วยอย่าง Siri จะเข้ามาช่วยเหลือคุณ ในปี 2013 Invisible Apps จะมาแรง เพราะจะถูกปรับเปลี่ยนไปตามความถนัดในการใช้งานของผู้ใช้ แรงบันดาลใจที่นำไปสู่การจับต้องได้มากขึ้น


6. จากเหตุการณ์ภัยธรรมชาติ จะมีผู้คิดค้นเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆออกมาเพียบ มีการคิดและพัฒนาแนวความคิดใหม่ๆในการสรรค์สร้างนวัตกรรมเพื่อช่วยเหลือ ผู้อื่น จากผู้ที่ได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติ เมื่อเราได้พบกับภัยธรรมชาติรุนแรงขึ้น เราก็สร้างนวัตกรรมเพื่ออนุรักษ์โลกและประหยัดพลังงาน
7. จะมีการจัดการข้อมูลมากขึ้น
ปฏิเสธไม่ได้ว่าข้อมูลต่างๆที่เราใช้นั้นเริ่มจะมีความซับซ้อนมากยิ่ง ขึ้น การบริโภคข้อมูล และการสร้างข้อมูลขึ้นมาต้องคำนึงถึงความง่ายในการนำไปใช้และการประยุกต์ใช้ ในด้านต่างๆ
8.สมาร์ทโฟนจะนำไปสู่สิ่งที่จับต้องได้มากขึ้น
เทคโนโลยีการประมวลผลบนสมาร์ทโฟนได้รับการพัฒนาให้มีขนาดของโปรเซสเซอร์ เล็กลง และการเชื่อมต่อผ่านเทคโนโลยี 4G จะกลายเป็นมาตราฐานในหลายๆประเทศ (ส่วนประเทศไทยเราต้องรอดูกันอีกที) แม้ว่าจะมีการรับส่งข้อมูลผ่านเครือข่ายมากขึ้น การประมวลผลกลับต้องการการบริโภคพลังงานลดลง แต่รูปแบบของการประมวลผลจะเปลี่ยนจากการประมวลผลแอพ เป็นการประมวลผลเพื่อตรวจสอบม่านตา ลายนิ้วมือ ผ่านกล้องดิจิตอลบนสมาร์ทโฟนที่อาจจะต้องมีชิปประมวลผลของกล้องที่เชื่อมโยง กับชิปบนสมาร์ทโฟน ตรงนี้แอพที่ต้องการความปลอดภัยอย่าง Mobile Banking หรือการชำระเงินผ่านมือถือนี่จำเป็นมาก และการใช้เทคโนโลยีการจดจำคลื่นเสียงเพื่อล็อกอินจะกลายเป็นรูปแบบใหม่ของ ความปลอดภัย ชีวิตออนไลน์จะเปลี่ยนไป


9. เทคโนโลยีการจดจำใบหน้าจะแพร่หลาย เทคโนโลยีการจดจำใบหน้า จะกลายเป็นรูปแบบใหม่ของความปลอดภัย หลังจากที่สมาร์ทโฟนนำมาใช้ในการปลดล็อกก่อนเข้าใช้งาน เทคโนโลยีการจดจำใบหน้า ไม่ได้ใช้เพื่อความปลอดภัยเพียงอย่างเดียว แต่ใช้ช่วยธุรกิจในการทำการตลาดได้ เช่น เดินเข้าร้านอาหาร แล้วเครื่องสามารถจดจำใบหน้าและเรียกชื่อคุณได้หากออร์เดอร์เสร็จเรียบร้อย แล้ว และยังสามารถนำไปใช้ในการอวยพรวันเกิดหรือสร้างข้อความต้อนรับเองก็ได้ และกล้อง จะเป็นอุปกรณ์สำคัญในการตรวจสอบใบหน้า และซอฟต์แวร์ก็มีส่วนช่วยในการนำใบหน้าของเราไปเทียบกับภาพถ่ายและแสดง ข้อมูลของเราผ่านออนไลน์
10. ชีวิตดิจิตอล เต็มไปด้วยการแจ้งเตือน การนั่งคอยการแจ้งเตือนต่างๆ กลายเป็นพฤติกรรมในปัจจุบันไปแล้ว ในการติดตาม Feeds, Walls, Streams, Notifications, Updates ชีวิตออนไลน์ตอนนี้แทบจะกลายเป็นงานประจำเลยเพราะอยู่ (กับ Notification) ด้วยกันตลอดวัน จริงๆแล้วทุกการแจ้งเตือนไม่ได้สำคัญกับการทำงานมากขนาดที่จะต้องไปนั่งเฝ้า แต่การแยกแยะความสำคัญของตัวบุคคลที่ติดต่อเราสำคัญกว่า เราสามารถกำหนดการแจ้งเตือนได้ตามต้องการของเราเอง เทคโนโลยีเดิมจะปรับเปลี่ยนไปสู่บทบาทใหม่



11. แท็ปเล็ตเข้าถึงง่าย ราคาถูก เขย่าวงการไอทีด้วยการเป็นเจ้าของแท็ปเล็ตได้ง่ายขึ้น และราคาที่ถูกลงจนทำให้ใครๆก็เป็นเจ้าของได้ เรียกได้ว่าแท็ปเล็ตกำลังจะกลายเป็นมินิคอมพิวเตอร์ที่ทดแทนหนังสือ นิตยสาร จากปรากฏการณ์แท็ปเล็ตราคาถูก ทำให้ผู้ใช้คนนึง มีแท็ปเล็ตมากกว่า 1 เครื่องเพื่อใช้ให้เหมาะสมกับความต้องการและวัตถุประสงค์ต่างๆ แต่ธุรกิจที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือสิ่งพิมพ์และสื่อสารมวลชน
เพราะแท็ปเล็ตกลายเป็นทางเลือกในการลดใช้กระดาษ
12. USSD คืออนาคตของปี 2013 แม้ว่าสมาร์ทโฟนราคาประหยัดจะได้รับความนิยมเป็นอย่างสูง แต่ USSD (Unstructured Supplementary Service Data) หรือการกดตัวเลขเป็นคำสั่ง เช่น ดอกจัน xxxx # แล้วโทรออก จะกลายเป็นเครื่องมือในการติดต่อกับสถาบันการเงิน เพื่อให้ทุกคนสามารถทำรายการทางการเงินได้อย่างง่ายดาย
13. ถึงเวลาสัมผัสประสบการณ์การใช้งานที่แท้จริง นอกจากบริษัทใหญ่ๆแล้ว ยังมีบริษัทขนาดเล็กที่นำเสนอบริการที่แรงจนน่าจับตา อย่าง Square และ Dropbox ที่เติบโตอย่างรวดเร็วในเวลาไม่นานนัก องค์กรขนาดใหญ่อย่าง Microsoft มี Windows 8 และ Surface, Google มี Android, Amazon มี Kindle ในปี 2012 ผู้ใช้ได้ทดลองใช้สินค้าเหล่านี้ดูบ้างแล้ว และในปี 2013 ผู้ใช้ก็จะทราบแล้วว่าอะไรที่เหมาะสมกับการใช้งานจริงๆของพวกเขา การพิมพ์แบบ 3D จะก้าวไปสู่เมนสตรีม




14. การจัดการ Content จะเปลี่ยนไป เพราะเทคโนโลยีราคาถูกลง
การจัดการกับ Content ไม่ว่าจะเป็นการรวบรวม การจัดการบนโลกดิจิตอล ทุก Content จะต้องจัดการผ่านทุกช่องทางได้อย่างง่ายดาย และมีเทคโนโลยีใหม่ที่รองรับ ไม่ว่าจะเป็นการพิมพ์แบบ 3D ผ่านพรินเตอร์สามมิติ ซึ่งเมื่อ 6 ปีก่อน ราคาถูกที่สุดคือ $30,000 แต่ในตอนนี้หาซื้อได้ในราคาเพียง $500 เท่านั้น
15. การผลิตผลิตภัณฑ์จำลองทำได้อย่างง่ายดาย ในขณะที่การขึ้นโมเดล 3D และการพิมพ์แบบ 3D ได้รับความนิยมมากขึ้น การใช้ Virtual Manufacturing หรือการขึ้นโมเดลจำลองแบบเสมือน ได้รับความนิยมมากขึ้น อย่างเช่นบริการของ Shapeways, Ponoko, Sculpteo และ i.materialise ซึ่งให้โรงงานที่ผลิตสามารถจ้างผลิตได้ในปริมาณต่ำ (10-1,000) ชิ้น เพื่อให้นักออกแบบได้เห็นภาพผลิตภัณฑ์จำลองเมื่อผลิตได้จริง และสั่งพิมพ์รายละเอียดก่อนผลิตได้ตลอดเวลา เทคโนโลยีผสานศิลปะ


16. มีการนำหุ่นยนต์มาช่วยในการควบคุมคุณภาพในการผลิตชิ้นส่วนต่างๆ การเชื่อมโยงการผลิตสมาร์ทโฟนด้วยนวัตกรรมและการลงทุน เช่นการตรวจสอบคุณภาพของนาฬิกาและเครื่องประดับ ตัวอย่างเช่นการผลิต HTC One และ Nokia Lumia ที่ใช้เคสแบบไร้ต่อต่อก็ใช้เทคโนโลยีการประกอบแบบ unibody
17. เทคโนโลยี Gesture จะมาแรง เราใช้ Gesture ในการควบคุมการทำงานของคอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟน แต่ล่าสุดจะถูกนำมาใช้กับการช้อปปิ้ง มีการใช้ Gesture ในการสร้างประสบการณ์ใหม่ในการช้อปปิ้ง ด้วยการใช้ Gesture กับตู้แจกโบรชัวร์อัตโนมัติ หรือใช้ Gesture ในการเล่นเกมส์เต้นในห้องนั่งเล่นที่บ้าน
18. ศิลปะ คู่นวัตกรรม ผสมผสานศิลปะในการออกแบบ การสร้างสรรค์ผลิตถัณฑ์จากจินตนาการ หลายๆบริษัทนอกจากจะคิดค้นผลิตภัฑณ์คุณภาพแล้ว ยังมองในเรื่องของการออกแบบ การดึงดูดผู้พบเห็นด้วยความสวยงามของศิลปะ ตัวอย่าง Intel ที่ใช้นักดนตรีในการควบคุมการสร้างสรรค์นวัตกรรมและเผยแพร่วัฒนธรรม โลกที่แคบลงบน Social Networks



19. Sensor พฤติกรรมของผู้ใช้เปลี่ยนแปลงไป การเชื่อมโยงการสื่่อสาร การตรวจสอบแบบเรียลไทม์ และ Social Network เป็นปัจจัยสำคัญ ทุกวันนี้เราเห็นคนใช้งานดาต้าสูงขึ้นมาก มีการเชื่อมต่ออุปกรณ์ และแชร์ข้อมูลต่างๆมากขึ้น Crowdsourcing เข้ามามีบทบาทมากในการสร้างข้อมูลและแชร์ร่วมกัน ทางด้านการแพทย์ มีการใช้เซ็นเซอร์และแอพเข้ามาช่วยในการตรวจความผิดปกติของร่างกาย ซึ่งการนำเซ็นเซอร์เข้ามาช่วยในการวินิจฉัยอาการและการเชื่อมโยงกับ Social Network ก็จะทำให้พฤติกรรมของเราเปลี่ยนไป
20. Micro-Network โตขึ้น เราจะเชื่อมโยงการสื่อสารกันผ่าน Micro-Network นอกเหนือจาก Social Platform ใหญ่ๆ เราก็จะสื่อสารกันผ่าน Micro-Network โดยพูดคุยในเรื่องที่เจาะลึกในด้านที่เราสนใจ เป็นกลุ่ม Local Community มากขึ้น เพราะรู้ขนบธรรมเนียม และวัฒนธรรมใกล้เคียงกัน ซึ่ง Micro-Network นี้ ไม่ใช่ Social Network แต่เป็นการสนทนาแบบเห็นหน้ากันจริงๆ หรืออีเมล์ หรือโทรศัพท์เพื่อแยกกลุ่มการสนทนาให้เล็กลง Social Platforms อย่าง Quora และ Facebook จะถูกปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้งานเป็น Micro-Network อย่างเช่น คนสนใจเรื่องใด ก็เข้า Facebook Group พูดคุยกัน ในเรื่องที่เราสนใจเหมือนๆกัน เช่นเรื่องการเมือง เรื่องความสนใจงานอดิเรกต่างๆ (Private Community) เทคโนโลยีที่นำมาเสนอในบทความนี้ เป็นการคาดการณ์จากหลายๆผู้เชี่ยวชาญ ลองติดตามไปพร้อมๆกัน ว่าปีนี้เทคโนโลยีใดจะก้าวหน้าและเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่ที่แน่ๆ แอพ อุปกรณ์ การเชื่อมต่อ 3G และ Micro-Networking มาแรงแน่


ที่มาของข้อมูล

FrogDesign และ สไลด์ 20 Tech Trends for 2013. ประชาชาติธุรกิจออนไลน์สกู๊ป.  
         20 แนวโน้มเทคโนโลยีในปี 2013. [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : 
         http://www.prachachat.net/news_detail.phpnewsid=1356600945
         &grpid=03&catid=21&subcatid=2100. อ้างเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2556.