วันพุธที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2556

รู้จักกับ web 3.0

                       
             ในตอนนี้นักท่องอินเทอร์เน็ตทั้งหลายหรือแม้แต่ผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตทั่วไปคงจะเคยได้ยินคำว่าweb 3.0 หลายคนคงสงสัยว่ามันคืออะไร วันนี้ก็เลยเอาบทความเกี่ยวกับ web 3.0 มาฝากกัน ย้อนไปเมื่อหลายปีก่อน(หรือในยุคแรกๆ) เมื่อเราเข้าใช้อินเตอร์เน็ตเรามักจะเจอเว็บที่มีลักษณะเหมือนหนังสือ คือเราสามารถอ่านเนื้อหาของเว็บได้อย่างเดียว จะไม่มีส่วนร่วมในการแต่งเติมเนื้อหา เช่น เว็บไซต์นำเสนอเกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยวเขาก็จะเอารูปถ่ายของสถานที่นั้นๆ มาลงไว้ เป็นธรรมดาที่เขาจะต้องเลือกเอาภาพที่สวยที่สุดมาลงไว้ แต่พอเราไปเที่ยวจริงๆ แล้วมันต่างจากภาพที่เขาเอามาลงไว้มาก เราก็อยากที่จะเอาประสบการณ์ที่เราไปพบมาจริงๆบอกต่อให้นักท่องเที่ยวคนอื่นๆ แต่ก็ไม่สามารถทำได้ในยุคของ web1.0 ต่อมาจึงได้มีการพัฒนาเว็บขึ้นมาในรูปแบบที่ทำให้ผู้อ่านมีส่วนร่วมในการแต่งเติมเนื้อหามากขึ้น สามารถแบ่งปันความรู้ได้อย่างแท้จริง ก็เลยกลายมาเป็น web 2.0 โดยการสร้างเสริมข้อมูลสารสนเทศ ให้มีคุณค่าและมีข้อมูลที่ถูกต้องที่สุด ดังตัวอย่างที่ทุกคนรู้จักกันดีอย่าง Wikipediaทำให้ความรู้ถูกต่อยอดไปอยู่ตลอดเวลา ข้อมูลทุกอย่างได้มาจากการเติมแต่งอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เกิดจากการคานอำนาจของข้อมูลของแต่ละบุคคลทำให้ข้อมูลนั้นถูกต้องมากที่สุด และจะถูกมากขึ้นเมื่อเรื่องนั้นถูก
ขัดเกลามาตามระยะเวลายาวนาน
                        
               และวันนี้ web3.0 กำลังจะมา เป็นการนำแนวคิดของ Web 2.0 มาทำให้ Web นั้นสามารถจัดการข้อมูลจำนวนมาก ๆ โดยอย่างที่เรารู้กันดีว่าผู้ใช้ทั่วไปนั้นเป็นผู้สร้างเนื้อหา ได้เพิ่มจำนวนมากขึ้น เช่นการเขียน Blog, การแชร์รูปภาพและไฟล์มัลติมีเดียต่าง ๆ ทำให้ข้อมูลมีจำนวนมหาศาล ทำให้จำเป็นต้องมีความสามารถในการจัดการกับข้อมูลดังกล่าวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเอาข้อมูลต่าง ๆ เหล่านั้นมาจัดการให้อยู่ในรูปแบบ Metadata ที่หมายถึงข้อมูลที่บอกรายละเอียดของข้อมูล (Data about data) ทำให้เว็บกลายเป็น Sematic Web กล่าวคือเว็บที่ใช้ Metadata มาอธิบายสิ่งต่าง ๆ บนเว็บ ซึ่งในตอนนี้เราจะเห็นกันทั่วไปนั่นคือTag นั้นเอง โดยที่ Tag ก็คือคำสั้น ๆ หลาย ๆ คำ ที่เป็นหัวใจของเนื้อหา เพื่อทำให้เราสามารถเข้าถึงเนื้อหาต่าง ๆ ได้ด้วยการใช้Tag ต่าง ๆ เพื่อเข้าถึงข้อมูลที่เกี่ยวข้อง แต่แทนที่ผู้ผลิตเนื้อหาจะใส่เอง แต่ตัว Web จะทำหน้าที่ประมวลผลข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูลเหล่านั้น แล้วให้Tags ตามความเหมาะสมให้เราแทนโดยเมื่อได้ Tag มาแล้ว ข้อมูลแต่ละ Tag จะมีความสัมพันธ์กับอีก Tag นึงโดยปริยาย เช่นข้อมูลเกี่ยวกับบริษัท Apple ก็จะมี Tag ที่เกี่ยวกับComputer, iPod, iMac … และ Tag ที่มีเนื้อหา Computer ก็มี Tag ที่เชื่อมโยงกับ Tag ที่มีเนื้อหาด้าน Electronic โดยจะเชื่อมโยงแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ทำให้ข้อมูลมีการเชื่อมโยงกันเหมือนฐานข้อมูลที่มีความสัมพันธ์กันในเชิงข้อมูล ทำให้อินเตอร์เน็ตกลายเป็นฐานข้อมูลความรู้ขนาดใหญ่ ที่ข้อมูลทุกอย่างถูกเชื่อมต่อกันอย่างเป็นระบบมากขึ้น



 ที่มาของข้อมูล
      อัมพิกา ใจก่อง. รู้จักกับ web 3.0. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก
               : http://www.kmlanna.com/index.php?name=knowledge           
               &file=readknowledge&id=95. อ้างเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2556.



10 วิธีการรักษาฮาร์ดดิสก์ ให้มีสุขภาพดี

                         
                   การบำรุงรักษาอุปกรณ์สำคัญของคอมพิวเตอร์นั่นก็คือ“ฮาร์ดดิสก์” ซึ่งสำหรับใครที่ยังมีฮาร์ดดิสก์ อยู่กับตัว ไม่พังไปเสียก่อนอ่านบทความนี้แล้วหมั่นปฏิบัติตามนะคะ รับรองว่าดีต่อฮาร์ดดิสก์ของคุณแน่นอนโปรแกรมที่คุณใช้งานอยู่เป็นประจำทำงานช้าลงหรือเปล่า? หรือพีซีอายุใช้งาน 4 เดือนของคุณมีอาการงอแงหรือไม่? ต่อไปนี้คือวิธีการแก้ปัญหาและเพิ่มความเร็วให้กับฮาร์ดดิสก์ตัวเก่งของคุณการเป็นเจ้าของและใช้งานฮาร์ดดิสก์โดยไม่เคยสแกนตรวจสอบก็เหมือนกับการมีรถยนต์คันหรูที่เอาแต่ขับอย่างเดียวไม่เคยเข้าศูนย์บริการ ซึ่งทิปต่อไปนี้สามารถกระทำได้โดยไม่ต้องลงแรงมากนักเพียงแค่เจียดเวลาสักนิดในการปฏิบัติตาม ทั้งนี้ก็เพื่อให้ฮาร์ดดิสก์ของคุณกลับมามีชีวิตชีวาเหมือนใหม่และทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

 

1. สแกนหาไวรัส
           จัดเป็นข้อควรปฏิบัติที่สำคัญเป็นอันดับต้นๆที่คุณควรให้ความสำคัญและหมั่นทำเป็นประจำเราคงไม่ต้องบอกคุณแล้วว่าไวรัสในปัจจุบันนั้นมีฤทธิ์เดช ร้ายแรงแค่ไหนเอาเป็นว่าให้คุณลองนึกถึงตอนที่ไฟล์ข้อมูลสำคัญในฮาร์ดดิสก์ถูกทำลายหรือเสียหายเพียงแค่เพราะว่าคุณไม่ได้ติดตั้งโปรแกรมป้องกันไวรัสเอาไว้ในเครื่อง หรือใครที่ติดตั้งเอาไว้แล้วก็ไม่ควรชะล่าใจลองตรวจสอบวันที่ของฐานข้อมูลไวรัส (Virus Definition)ถ้าเก่า เกินกว่า 30 วันก็ควรรีบทำการอัพเดตให้เป็นเวอร์ชันปัจจุบันเพื่อการป้องกันที่เต็มประสิทธิภาพจากนั้นทำการสแกนฮาร์ดดิสก์ทั้งหมดที่ติดตั้งอยู่ในระบบ ถ้าเป็นไปได้แนะนำให้กำหนดตารางเวลาในการสแกนเป็นประจำทุกสัปดาห์

 2. ปัดกวาดไฟล์หรือขยะที่ไม่ได้ใช้
           ยิ่งใช้งานเครื่องมานานเท่าใด ไฟล์ข้อมูลเก่าๆหรือขยะในเครื่องก็จะเพิ่มพูนมากขึ้นเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นไฟล์ข้อมูลเก่าโปรแกรมเก่า ไฟล์ชั่วคราวที่หลงเหลือจากการท่องอินเทอร์เน็ตรวมทั้งไฟล์ที่ตกค้างจากการติดตั้งโปรแกรมในโฟลเดอร์เก็บไฟล์ชั่วคราวของวินโดว์สซึ่งวิธีการง่ายๆ ในการ กำจัดไฟล์ขยะเหล่า นี้ก็คือการใช้ยูทิลิตี้ Disk Cleanup ของวินโดว์สหรือจากออปชันทำความสะอาดไฟล์ในโปรแกรม IE โดยตรง (Tools -> Internet Options)
3. กำจัดขยะในซอกหลืบ
      แม้ว่าคุณจะทำการลบไฟล์ขยะด้วยตัวเองไปแล้วแต่ก็ยังอาจมีเศษขยะที่มองไม่เห็นตกค้างอยู่ในฮาร์ดดิสก์ของคุณอีกมากมายโดยเศษขยะในที่นี้ หมายถึงบรรดา สปายแวร์หรือแอดแวร์ต่างๆ ด้วยซึ่งวิธีการตรวจสอบหาขยะเหล่านี้จำเป็นต้องใช้เครื่องมือพิเศษคือโปรแกรมอย่างเช่น Ad-aware หรือ Spybot Search & Destroy ที่หาดาวน์โหลดได้ฟรีจากอินเทอร์เน็ตที่สำคัญคืออย่าลืมอัพเดตฐานข้อมูลให้กับโปรแกรมดังกล่าวก่อนเริ่มทำการสแกนระบบด้วย

 4. หมั่นใช้สแกนดิสก์
         เมื่อใดก็ตามที่พื้นที่เก็บข้อมูลในฮาร์ดดิสก์เกิดบกพร่องเสียหายเรามักจะใช้คำแทนจุดบกพร่องนั้นๆ ว่า “Bad Sector”ซึ่งมีความหมายว่าบริเวณพื้นผิวของจาน แม่เหล็กเกิดความเสียหายจนไม่สามารถทำการอ่านข้อมูลได้ซึ่งวิธีการแก้ไขนั้นคือการใช้ยูทิลิตี้Scandisk ของวินโดว์สในการตรวจสอบหาจุดที่เกิด Bad Sector และย้ายข้อมูลที่อยู่ในบริเวณนั้นๆไปยังเซกเตอร์อื่นๆ ที่ปกติทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยของไฟล์ข้อมูลโดยในหน้าต่างยูทิลิตี้ Scandisk นั้นให้คุณเลือกออปชัน Scan for and attempt recovery of bad sectorsด้วยก่อนเริ่มทำการสแกน นอกจากนี้หากคุณใช้ระบบปฏิบัติการWindows 98/Me แนะนำให้ปิดการทำงาน ของสกรีนเซฟเวอร์ก่อนเริ่มScandisk ด้วย
                     
 5. จัดเรียงข้อมูลให้เป็นระเบียบ โปรแกรม Defragmenter
         ที่ไม่ต้องเสียเวลาหาให้ไกลเพราะมีอยู่ในวินโดว์สทุกเวอร์ชันแล้วนั้นจะช่วยในการจัดเรียงข้อมูลที่ถูกเขียนลงฮาร์ดดิสก์อย่างสะเปะสะปะ ให้มีระเบียบและเป็นชิ้นเป็นอันมากขึ้นทั้งนี้ก็เพื่อให้หัวอ่านฮาร์ดดิสก์ไม่ต้องทำงานหนักและใช้เวลาในการอ่านข้อมูลสั้นลงและโปรดอย่าเข้าใจผิดคิดว่าโปรแกรมจะจับไฟล์ในโฟลเดอร์ของคุณไปสลับสับเปลี่ยนหรือเรียงไว้ในโฟลเดอร์อื่นๆ จนหาไม่เจอเพราะการ Defrag นั้นจะทำการจัดเรียงไฟล์ข้อมูลบนดิสก์เท่านั้นไม่ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างการเก็บไฟล์ในวินโดว์สแต่อย่างใด
6. เก็บทุกอย่างให้เข้าที่
        ขั้นตอนนี้จะเรียกว่าเป็นวินัยส่วนตัวก็ว่าได้เพราะไม่ว่าจะเป็นลิ้นชักตู้เสื้อผ้าหรือฮาร์ดดิสก์ก็ล้วนต้องการระบบระเบียบในการจัดเก็บที่ดีด้วยกันทั้งนั้นฟังดูอาจเป็นงานที่น่าเบื่อแต่ถ้าฝึกให้เป็นนิสัยตั้งแต่แรกก็แทบจะไม่ต้องทำอะไรเลยส่วนใครที่ยังเก็บไฟล์ทุกชนิดทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นไฟล์เอกสาร ไฟล์รูปภาพไฟล์วิดีโอ ไฟล์เพลง ฯลฯ ปนกันมั่วไว้ในโฟลเดอร์เดียวกันเตรียมตัวเตรียมใจกับเรื่องปวดหัวในการค้นหาไฟล์เมื่อต้องการใช้งานให้ดีแต่ถ้าไม่อยากก็สละเวลาจัดการจัดไฟล์ลงโฟลเดอร์ให้เรียบร้อยเสียตั้งแต่วันนี้

7. แบ็กอัพข้อมูล
        ไม่มีฮาร์ดดิสก์รุ่นไหน ยี่ห้อใดที่จะมีอายุยืนยาวอยู่กับคุณไปตลอดกาลแต่ถึงแม้ในที่สุดฮาร์ดดิสก์ของคุณจะหมดอายุขัย ก็ไม่ได้หมายความว่าข้อมูลทั้งหมดที่เก็บอยู่ในนั้นจะสูญหายไปด้วยเพียงแต่สิ่งที่คุณควรต้องหมั่นทำเป็นกิจวัตรก็คือการแบ็กอัพไฟล์ข้อมูลสำคัญๆเก็บไว้ในฟล๊อบปี้ดิสก์ แผ่นซีดี ดีวีดี หรืออื่นๆที่ไม่ใช่ฮาร์ดดิสก์ตัวที่ใช้งานอยู่หรือถ้าที่กล่าวมานั้นมันยุ่งยากหรือทำให้คุณลำบากเกินไปแนะนำให้ใช้ทัมป์ไดรฟ์ที่ปัจจุบันมีราคา แสนถูกและถ้าไม่ลำบากเงินในกระเป๋าจนเกินไปเลือกรุ่นที่จุ 128MB ขึ้นไปจะดีมาก
                   
8. เทขยะอย่าให้เหลือไฟล์ตกค้าง
        เมื่อคุณกดปุ่ม Delete เพื่อลบไฟล์ซึ่งในทางปฏิบัติดูเหมือนว่าไฟล์ข้อมูลของคุณจะถูกลบออกไปแต่ในทางทฤษฎีนั้นไฟล์ของคุณจะยังไม่ถูกลบ ออก ไปจริงๆเพียงแต่วินโดว์สจะทำเครื่องหมายไว้ในพื้นที่ส่วนนั้นๆว่าเป็นที่ว่างและเมื่อใดที่มีการเขียนไฟล์ข้อมูลก็สามารถเขียนทับตำแหน่งนั้นๆ ได้นอกจากนี้วินโดว์สจะนำไฟล์ที่คุณลบไปใส่ไว้ในถังขยะ (Recycle Bin) เผื่อกรณีที่คุณเกิดเปลี่ยนใจหรือตัดสินใจพลาด หากใครช่างสังเกตจะพบว่าแม้จะลบไฟล์ข้อมูลไปแล้วแต่พื้นที่ว่างในอาร์ดดิสก์นั้นไม่ได้เพิ่มขึ้นแต่อย่างใดทั้งนี้ก็เพราะข้อมูลนั้นๆ ยังนอนรอชะตากรรมอยู่ในถังขยะ (Recycle Bin) นั่นเองดังนั้นหากคุณมั่นใจว่าไม่ใช้งานแล้วหรือไม่ต้องการให้ใครมาแอบคุ้ยถังขยะเอาข้อมูลส่วนตัวของคุณไปแนะให้คลิกขวาที่ไอคอน Recycle Bin แล้วเลือกคำสั่ง Empty Recycle Bin เพื่อกำจัดขยะในถังให้สิ้นซาก

9. แบ่งพาร์ทิชันเพื่อเก็บข้อมูลฮาร์ดดิสก์
       โดยทั่วไปที่ออกมาจากโรงงานนั้นจะไม่มีการแบ่งพาร์ทิชันเอาไว้หรือพูดให้เข้าใจง่ายๆ คือซื้อ 80GB ก็จะได้ไดรฟ์ C: ความจุ 80GB มาใช้งานแต่ถ้าจะให้ดี แนะนำให้คุณทำการแบ่งฮาร์ดดิสก์ออกเป็นส่วนๆหรือที่เรียกว่าการแบ่งพาร์ทิชันนั่นเอง ยกตัวอย่างเช่น ฮาร์ดดิสก์ 80GB นำมาแบ่งเป็น 2 พาร์ทิชัน พาร์ทิชันละ40GB ซึ่งคุณก็จะได้ไดรฟ์มาใช้งาน 2 ไดรฟ์คือไดรฟ์ C: และไดรฟ์ D:ซึ่งการแบ่งพาร์ทิชันนอกจากจะช่วยลดภาระของหัวอ่านและเพิ่มความเร็วในการทำงานของฮาร์ดดิสก์แล้วคุณยังสามารถแยกไฟล์สำคัญๆ มาเก็บไว้ในไดรฟ์แยกต่างหากจากไดรฟ์ที่ติดตั้งวินโดว์สซึ่งอาจโดนไวรัสเล่นงานจนเสียหายได้อีกด้วยซึ่งการแบ่งพาร์ทิชันนั้นคุณสามารถทำได้ในขณะที่ติดตั้ง Windows XP เลยแต่ถ้าไม่ได้ทำก็ไม่เป็นไรเพราะปัจจุบันมีโปรแกรมสำหรับการนี้มากมายซึ่งที่นิยมใช้กันมากที่สุดได้แก่โปรแกรมPartition Magic

 10. เลือกความเร็วให้เหมาะกับงาน
        วิธีการที่ผ่านมานั้นสามารถช่วยให้ฮาร์ดดิสก์ของคุณสามารถทำงานได้เร็วขึ้นได้อีกเล็กน้อยอย่างไรก็ดี หากคุณกำลังมองหาหรือตัดสินใจซื้อฮาร์ดดิสก์ ใหม่แนะนำให้พิจารณาเลือกรุ่นความเร็วที่เหมาะสมกับลักษณะงานที่คุณต้องการใช้งาน เช่นเลือกรุ่นที่มีความเร็วในการหมุนจานแม่เหล็ก 5,400 RPM (รอบ/นาที)ที่มีราคาถูกถ้าคุณใช้เพียงโปรแกรมทั่วๆ ไปเช่น เล่นอินเทอร์เน็ต รับ-ส่งอีเมล์หรือพิมพ์งานด้วยโปรแกรมเวิร์ด หรือถ้างานของคุณ เกี่ยวกับการตกแต่งภาพถ่าย เล่นเกมก็อาจเลือกซื้อรุ่น 7200 RPM หรืออาจจะเป็น 10,000 RPM เลยก็ได้หากทำงานประเภทตัดต่อวิดีโอเป็นหลักซึ่งฮาร์ดดิสก์ที่มีความเร็วในการหมุนจานแม่เหล็กสูงและมีขนาดของแคชภายในมากจะช่วยเพิ่มความเร็วในการทำงานให้กับคุณมากยิ่งขึ้น




ที่มาของข้อมูล
เมธาวี. 10 วิธีการรักษาฮาร์ดดิสก์ ให้มีสุขภาพดี. [ออนไลน์].
            เข้าถึงได้จาก: http://www.kmlanna.com/index.php?
            name=knowledge&file=readknowledge&id=41 .
           อ้างเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2556

8 วิธีถนอมสายตาเมื่ออยู่หน้าคอม

               
                 

 1. เลือกจอภาพที่มีการกระจายรังสีต่ำเพื่อถนอมสายตา วิธีทดสอบแบบง่ายๆ ทำโดยการปิดสวิตช์ภาพ แล้วเอาหรือแขนไปจ่อไว้ไกล้ๆ จอภาพให้มากที่สุด ซึ่งจอภาพที่มีการกระจายรังสีต่ำจะแทบไม่รู้สึกถึงไฟฟ้าสถิตตามขนที่บริเวณผิวเลย

2. ปรับแสงและความคมชัดหน้าจอคอมพิวเตอร์ให้รู้สึกสบายตาให้มากที่สุด รวมทั้งความสว่างภายในห้องเราด้วย เพราะหากทำงานกับคอมพิวเตอร์ในสภาพแวดล้อมที่มีแสงจ้า และจอภาพมีความสว่างมาก ก็ยิ่งสงผลเสียต่ดวงตาได้ง่ายขึ้น

3. ตำแหน่งของจอภาพควรห่างจากดวงตาพอประมาณ 18-24 นิ้วหรือประมาณช่วงแขนเอื้อม และปรับระดับให้ต่ำกว่าระดับสายตาประมาณ 15-20 องศา ซึ่งหากระยะห่างระหว่างตากับจอภาพไม่สัมพันธ์กันอาจทำให้เกิดอาการเมื่อยล้าและปวดตาได้ง่าย
4. ควรใส่แผ่นกรองรังสีติดไว้ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ เพื่อเป็นการช่วยกระจายรังสีจากคอมพิวเตอร์สู่สายตา ที่สำคัญควรเลือกแบที่มีคุณภาพและเชื่อถือได้
5. ทำความสะอาดหน้าจอคอมพิวเตอร์อยู่เสมอ เพราะฝุ่นละอองอาจะทำให้เกิดการสะท้อนมากยิ่งขึ้น
6. การหยุดพักหรือการเปลี่ยนแปลงตารางการทำงานซะใหม่ จะช่วยให้สายตาคลายความเมื่อยล้าจากการจ้องหรือเพ่งคอมพิวเตอร์ได้ เช่น หยุดพักสายตาครั้งละ 15 นาที ทุกๆ 2 ชั่วโมง แล้วค่อยเริ่มการทำงานต่อไป ก็จะช่วยให้ถนอมสายตาได้
7. ใช้ผ้าซุปน้ำหมาดๆ วางไว้บนเปลือกตา และหลับตาสัก 2-3 นาที หรือจะให้ดีกว่านั้น ปิดไฟ นอนพะสักครู่ เพื่อเป็นการซาร์ตพลังงายให้กลับสายตามาแข็งแรงอีกครั้ง
8.สำหรับคนที่ใส่คอนแทคเลนส์ แจจะเกิดการตาแห้งเพราะห้องที่มีคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่มักจะเป็นห้องห้องแอร์ เมื่อบวกกับความร้อนจากเครื่องคอมพิวเตอร์ จะทำให้อากาศแห้ง การหยดน้ำตาเทียมก็จะช่วยให้ตากลับมาสดชื่นอีกครั้งได้

                         

     

ที่มาของข้อมูล
       นิตยสาร candy. 8 วิธีถนอมสายตาเมื่ออยู่หน้าคอม. [ออนไลน์].
                    เข้าถึงได้จาก http://www.trueplookpanya.com/new/
                    cms_detail/general_knowledge/13194/ อ้างเมื่อวันที่
                   21 สิงหาคม 2556.

การดูแลรักษาคอมพิวเตอร์ เบื้องต้น

                           
               มีคนอีกจำนวนมากๆ ที่ไม่เคยดูแล รักษาเครื่องคอมพิวเตอร์เบื้องต้น หรือไม่ทราบว่าจะดูแลรักษาเครื่องคอมพิวเตอร์ของเราให้อยู่กับเรานานๆ ได้อย่างไร อันนี้ไม่ได้โทษใคร แต่เราอยากจะแนะนำวิธีการดูแลรักษาเครื่องคอมพิวเตอร์ของเรา แบบพื้นฐาน อย่างน้อย จะได้ทราบว่า คอมพิวเตอร์ของเราอยู่ในสภาพแบบไหน พร้อมใช้งานหรือไม่
                           

        เริ่มต้นการดูแลรักษา ตรวจสอบเครื่องคอมพิวเตอร์
         1. สภาพภายนอก แนะนำให้ทำความสะอาดสักนิด อย่างน้อยก็เพื่ออนามัย และสุขภาพของคุณเอง คุณทราบหรือไม่ แป้นพิมพ์หรือคีย์บอร์ด มันสกปรกขนาดไหน (ลองคิดเล่นๆ ดูว่า วันๆ คุณหยิบจับอาหาร และใช้งานแป้นพิมพ์ หรือไม่ และฝุ่นละอองข้างๆ มีมากน้อยเพียงใด) ควรทำสะอาดบ้าง อย่างน้อย สัปดาห์ละ 1 ครั้ง
        2. สายไฟ สายสัญญาณต่างๆ หลวม หรือหักชำรุดหรือไม่ แนะเสียบปลั๊กแล้ว ไฟติดๆ ดับๆ บ่อยๆ แนะนำให้รีบแก้ไข ถ้าแก้ไขไม่ได้ ให้รีบซื้อเปลี่ยนใหม่ดีกว่า ไฟติดๆ ดับๆ บ่อยๆ มีบ่อยกับคอมพิวเตอร์อย่างมาก วันดี คืนดี อาจเปิดไม่ติดเลย
       3. พื้นที่ว่างบนฮาร์ดดิสก์ หลังจากเปิด Windows เข้ามาแล้ว ลองเช็คพื้นที่ในฮาร์ดดิสก์ เสียก่อนว่า เหลือเท่าไหร่ ถ้าเหลือน้อยกว่า 500 MB ก็ควรพิจารณาเพื่มพื้นที่ว่างได้แล้ว โดยเฉพาะกับ Drive C: (ซึ่งเป็นที่เก็บโปรแกรม) แนะนำให้สำรองข้อมูล โดยเฉพาะไฟล์ต่างๆ?ทีอยู่ใน My Documents ออกไปบ้าง หรืออาจสำรองลง Drive อื่นๆ (ถ้ามี)
     4. ตรวจสอบสภาพฮาร์ดดิสก์ นอกเหนือเรื่องพื้นที่ว่างแล้ว สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ การตรวจสอบฮาร์ดดิสก์ว่ามีจุดไหนเสียหรือไม่ วิธีการไม่จำเป็นต้องแกะเครื่องคอมฯ มาตรวจสอบ เพียงแค่ใช้โปรแกรมช่วยตรวจสอบ ประเภท Disk Defragment ก็สามารถเช็คได้แล้วว่า ฮาร์ดดิสก์ของเรามี "Bad Sector" หรือไม่ (Bad Sector เป็นจุดเสียของฮาร์ดดิสก์) ถ้ามี แนะนำให้รีบสำรองข้อมูล และเปลี่ยนฮาร์ดดิสก์ไปเลยจะปลอดภัยกว่า
    5. ตรวจสอบไวรัสบ้าง ถึงแม้ว่าเราจะมีโปรแกรม Antivirus แล้วก็ตาม เราก็ยังคงจำเป็นต้องมีการตรวจสอบไวรัสอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง และที่สำคัญก็ควรอัปเดทโปรแกรมแบบออนไลน์ให้ทันสมัยอยู่เสมอด้วยเช่นกัน

               
ที่มาของข้อมูล
True ปลูกปัญญา. การดูแลรักษาคอมพิวเตอร์ เบื้องต้น. [ออนไลน์].
            เข้าถึงได้จาก http://www.trueplookpanya.com/new/cms_
            detail/general_knowledge/11209/
            อ้างเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2556.

การปรับแต่งเมาส์ให้ทำงานตามที่ต้องการ

     
         เราสามารถเปลี่ยนค่าตั้งเมาส์โดยการเลือกเมนู setting ดับเบิลคลิกออปเจกเมาส์ใน Control Panel จะได้กล่องบทสนทนา สังเกตว่าจะมี แถบคั่นสามส่วนด้วยกันคือ คือ
1. แถบ Buttons ใช้สำหรับปรับแต่งปุ่มของเมาส์และความเร็วของการดับเบิ้ลคลิกของเมาส์
2. แถบ Pointers ใช้สำหรับเปลี่ยนแปลงสัญญลักษณ์ตัวชี้เมาส์
3. แถบ Montion ใช้สำหรับปรับแต่งความเร็วของเมาส์และหางเมาส์

การปรับแต่งปุ่มของเมาส์
       แถบคั่น Bottons ใช้สำหรับเปลี่ยนปุ่มของเมาส์ในกรณีที่ท่านถนัดซ้าย นอกจากนี้ยังสามารถใช้ ควบคุมความเร็ว ของการทำดับเบิลคลิกได้ คลิก Right-handed หรือ Left-handed ขึ้นอยู่กับว่าท่านใช้ มือข้างใดในการจับเมาส์ การปรับแต่งความเร็วของการดับเบิลคลิกทำโดนการ ย้ายสไลเดอร์ไปมาระหว่าง Slow กับ Fast ทดลอง ตั้งความเร็วของการดับเบิลคลิกใหม่ โดยการดับเบิลคลิกในบริเวณทดสอบ     
                 

การตั้งตัวชี้เมาส์
         คลิกที่แถบคั่น Pointer เพื่อแสดงกล่องบทสนทนา Pointers จะเห็นรายการรูปตัวชี้ของเมาส์ที่แสดงเมื่อมันกำลังยุ่งกับการทำงานและทำงานบางอย่างอยู่ หรือขณะที่กำลังทำงานประยุกต์พิเศษต่าง ๆ อยู่ เช่น โปรแกรมการวาดภาพ ท่านสามารถเปลี่ยนตัวชี้โดยการเปิดแฟ้มเคอร์เซอร์พิเศษซึ่งอาจเก็บโฟลเดอร์ Window Cursors การเปลี่ยนเคอร์เซอร์ทำตามขั้นตอนดังนี้
1. คลิกเคอเซอร์ที่ท่านต้องเปลี่ยนในหน้าต่าง
2. คลิกปุ่ม Browse เพื่อหาเคอร์เซอร์ใหม่ รายการเคอร์เซอร์เก็บอยู่ในแฟ้มที่มีส่วนขยายเป็น CUR (อย่าลืมดูที่โฟลเดอร์- WindowsCursors)
3. หลังจากเลือกเคอร์เซอร์ใหม่ได้ตามต้องการแล้ว ท่านสามารถจัดเก็บไว้ใช้ต่อไปโดย การคลิกปุ่ม Save as และตั้งชื่อไว้สามารถสร้างเคอร์เซอร์แบบต่างๆได้หลายแบบ ตัวอย่างเช่น ท่านอาจต้องการสร้างเคอร์เซอร์ขนาดใหญ่ สำหรับคนที่มีปัญหาในการมองภาพ
             
การติดตั้งค่าการเคลื่อนที่ของเมาส์
       จากแถบคั่น Motion สามารถจะติดตั้งค่าการเคลื่อนที่ของเมาส์ซึ่งมีลักษณะดังนี้

            
  

       สามารถทำการเปลี่ยนแปลงค่าติดตั้งที่สำคัญสองประการ เพื่อให้เหมาะกับความสามารถในการใช้เมาส์ดั้งนี้

* Pointer speed
1. ให้เลื่อนปุ่มลูกศรไปทางซ้ายหรือขวาเพื่อเปลี่ยนความเร็วของตัวชี้เมาส์เมื่อท่านเลื่อนเมาส์ผ่านแผ่นรองเมาส์
2. คลิกปุ่ม Apply เพื่อทดสอบการเปลี่ยนแปลงนี้ (ถ้าเป็นผู้เริ่มใช้ให้ตั้งค่าความเร็วไปทางด้าน Slow จนกว่าจะ เคยชินกับการใช้เมาส์)

 

 ที่มาของข้อมูล
True ปลูกปัญญา. การดูแลรักษาคอมพิวเตอร์ เบื้องต้น. [ออนไลน์].
              เข้าถึงได้จาก http://www.trueplookpanya.com/new/cms_            
              detail/general_knowledge/312/
              เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2556.

วันพุธที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2556

7 เคล็ดลับ เพื่อปกป้องรหัสผ่านให้พ้นมือโจร

                   

1. ควรมีตัวอกษรอย่างน้อย 8 ตัว ประกอบด้วย อักษรตัวใหญ่ และอักษรตัวเล็ก ตัวเลข และสัญลักษณ์ผสมกันจะยิ่งปลอดภัย
2. หลีกเลี่ยง การใช้ วัน เดือน ปีเกิด ชื่อตัวเอง (ชื่อแฟน เพื่อนสนิท พ่อแม่พี่น้อง) หรือข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับตัวเรามาใช้ เพราะเดาได้ง่ายเกินไป
3. ใช้รหัสผ่านแยกกัน หากเป็นคนละบัญชีผู้ใช้งาน โดยเฉพาะรหัสผ่านที่ใช้เข้าถึงข้อมูลสำคัญ อาจใช้วิธีตั้งรหัสผ่านเป็นพวกเดียวกัน แต่เปลี่ยนตัวเลขที่ตามหลังเพื่อแยกความแตกต่าง
4. จำไว้ให้แม่น อย่าเลือก "จัดเก็บรหัสผ่านอัตโนมัติ" (Remember Password) หากต้องใช้เครื่องร่วมกับผู้อื่น กรณีนี้เจอปัญหามาแล้ว
5. อย่าบอกหรือส่งรหัสผ่านให้ใครเด็ดขาด ไม่ว่าจะวาจา อีเมลล์ หรือ SMS ระลึกไว้ว่าเป็นรหัสลับของคุณเท่านั้น
6. ห้ามจดรหัสผ่านลงบนกระดาษ หรือสมุดโน้ตใดๆ ถ้าจำเป็นควรเก็บเอกสารไว้ในที่ปลอดภัย
7. เปลี่ยนรหัสผ่านทุก ๆ 3 เดือน เพื่อลดโอกาสที่ใครจะมาถอดรหัสของคุณ


                 


ที่มาของข้อมูล
สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิ์ภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา. 7 เคล็ดลับ
            เพื่อปกป้องรหัสผ่านให้พ้นมือโจร. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก :      
             http://www.otep.go.th/index.php/component/content/article/60-computer/751-7-.html
            อ้างเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2566.


 

ความแตกต่างระหว่าง "GPS" และ "GPRS"


               ในปัจจุบันคำว่า "GPS" และ "GPRS" ถูกใช้กันอย่างแพร่หลายในยุคของการสื่อสารที่ก้าวหน้า แต่ก็มีหลายครั้งที่มักจะเกิดการเข้าใจผิดหรือสับสนระหว่างคำสองคำนี้ ทำให้เกิดความผิดพลาดในการใช้งานได้ ดังนั้นเราควรทำความรู้จักกับ "GPS" และ "GPRS" ก่อนว่าคืออะไร

GPS
                      

                 GPS มาจากคำว่า Global Positioning System หมายถึง ระบบที่ใช้ระบุพิกัดของตำแหน่งบนพื้นโลก มีลักษณะการทำงานโดยการรับสัญญาณจากดาวเทียมแต่ละดวง โดยประกอบไปด้วยข้อมูลที่ระบุตำแหน่งและเวลาขณะส่งสัญญาณ ตัวเครื่องรับสัญญาณ GPS จะประมวลผลความแตกต่างระหว่างเวลาในการรับสัญญาณเทียบกับเวลาจริง ณ ปัจจุบันเพื่อเปลี่ยนเป็นระยะทางระหว่างเครื่องรับสัญญาณกับดาวเทียมแต่ละดวง และเพื่อให้เกิดความแม่นยำในการค้นหาตำแหน่งด้วยดาวเทียม ต้องมีดาวเทียมอย่างน้อย 4 ดวง เพื่อบอกตำแหน่งบนผิวโลก

การประยุกต์ใช้งาน GPS
· การกำหนดพิกัดของสถานที่ต่าง ๆ การทำแผนที่ งานสำรวจ
· ใช้ในการนำทางสำหรับการเดินทางทั้งทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ
· การนำไปใช้ประโยชน์ทางทหาร
· การสันทนาการ เช่น การตีกอล์ฟ ตกปลา หรือเส้นทางการวิ่ง

GPRS
                         
              GPRS มาจากคำว่า General Packet Radio Service หมายถึง การส่งข้อมูลต่างๆในรูปแบบแพ็กเก็ตต่าง ๆ ที่ถูกแบ่งเป็นส่วนเล็กๆ ซึ่งมีความสามารถในการส่งผ่านข้อมูลโครงข่ายได้ดีกว่าแบบเดิม และยังช่วยเพิ่มอัตราการส่งข้อมูลสูงขึ้นอีกด้วย เทคโนโลยี GPRS นี้สร้างขึ้นมา เพื่อช่วยให้สามารถทำธุรกรรมต่างๆ ผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ได้ง่ายและสะดวกขึ้น เป็นระบบสื่อสารแบบไร้สายสำหรับโทรศัพท์มือถือ หรือ PDA หรือ note book เพื่อเชื่อมต่อกับ internet แปลง่ายๆ ว่า เป็นระบบที่ทำให้โทรศัพท์มือถือ ต่ออินเทอร์เน็ตได้นั่นเอง

สรุปง่ายๆ ก็คือ
        GPS เป็นเทคโนโลยีเพื่อทำการหาตำแหน่งของอุปกรณ์ว่าอยู่ที่ไหน
        GPRS -> เป็นเทคโนโลยีสื่อสารแบบไร้สายในอุปกรณ์ mobile เพื่อเล่น internet wap 

       
                               
ที่มาของข้อมูล
อัมพิกา ใจก่อง. ความแตกต่างระหว่าง "GPS" และ "GPRS". [ออนไลน์].
             เข้าถึงได้จาก : http://www.kmlanna.com/index.php?       
             name=knowledge&file=readknowledge&id=60. อ้างเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2556.